“การเปลี่ยนแปลงการกลับรายการ” ใน “ทฤษฎีดาว”
“แนวโน้มควรได้รับการสมมติว่าจะยังคงอยู่จนกว่าจะมีการส่งสัญญาณกลับตัวอย่างชัดเจน” คำกล่าวนี้คือพื้นฐานของ “ทฤษฎีดาว” (Dow Theory) ในเรื่องของการเทรดตามแนวโน้ม และยังเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันในหมู่ผู้เล่นการเงิน' target='_blank' rel='noopener'>ตลาดการเงิน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะบางคนมองว่า “สัญญาณมาไม่ทันเวลา” และทำให้พลาดโอกาสในการจับจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของตลาด
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ในตลาดที่ผ่านมา หากเข้าสวนแนวโน้มในช่วงที่ “รูปแบบกลับตัว” ยังไม่ชัดเจน มักจะทำให้ติดอยู่ในสถานะที่ไม่พึงประสงค์ แม้ว่าจะสามารถจับจุดสูงสุดหรือต่ำสุดได้จริง แต่กระบวนการสร้างจุดนั้นมักจะมีการแกว่งตัวขึ้นลงหลายครั้ง ทำให้ผู้ลงทุนสูญเสียความมั่นใจหรือหมดความอดทนจนต้องออกจากตลาดก่อนเวลา และพลาดช่วงที่กำไรมีโอกาสขยายตัวมากที่สุด
ความสำคัญของ "รูปแบบกลับตัว"
Charles H. Dow เชื่อว่า ผู้เล่นในตลาดไม่ควรเปลี่ยนทิศทางของการลงทุนจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนว่า “รูปแบบกลับตัว” ได้เกิดขึ้นแล้ว:
- การยืนยันรูปแบบกลับตัว: “รูปแบบกลับตัว” นั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่าย และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มักจะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การยืนยันรูปแบบกลับตัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เล่นในตลาด โดยสามารถใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น รูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns), โซนแนวรับและแนวต้าน, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), และเส้นแนวโน้ม (Trend Lines) เพื่อช่วยในการแยกแยะว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัว
- ตัวอย่าง:
- หากกราฟแท่งเทียนแสดงรูปแบบ "Double Top" (สองยอด) หรือ "Double Bottom" (สองฐาน) มักเป็นสัญญาณกลับตัว
- เมื่อราคาแตะระดับแนวต้านหลายครั้งแต่ไม่สามารถทะลุขึ้นได้ อาจหมายถึงแนวโน้มขาลงใกล้เริ่มต้น
- สาเหตุที่การกลับตัวเกิดขึ้นยาก: เนื่องจากเงินทุนหลักในตลาดมักจะคงอยู่ในทิศทางเดิมจนกว่าพลังงานในทิศทางเดิมจะหมดลง แนวโน้มส่วนใหญ่จึงมักจะเคลื่อนไปในทิศทางเดิมจนกระทั่งพลังงานในทิศทางนั้นถูกต้านทานโดยพลังงานในทิศทางตรงข้าม
- คุณสมบัติของผู้ลงทุนที่ทำกำไรได้: ผู้ที่สามารถควบคุมตัวเองและมีความอดทนมักจะเป็นผู้ที่ได้กำไรในตลาด ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เปลี่ยนทิศทางการลงทุนบ่อยครั้งมักจะพบกับความสับสนและทำให้ต้นทุนและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการเทรดตามแนวโน้ม
ตัวอย่าง 1: หากแนวโน้มราคาเป็นขาขึ้น โดยมีแนวรับที่ 1,000 และแนวต้านที่ 1,200 หากราคาขยับลงมาใกล้ 1,000 แต่ไม่หลุดแนวรับ ผู้ลงทุนสามารถพิจารณาเปิดสถานะ "ซื้อ" และตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ที่ 990
ตัวอย่าง 2: ในกรณีที่ราคาเกิดการกลับตัว เช่น ราคาลดลงทะลุแนวรับ 1,000 ลงไปที่ 990 และไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ แสดงถึงแนวโน้มขาลงเริ่มต้น ผู้ลงทุนควรเปลี่ยนแผนเป็น "ขาย" แทน