เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์

เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์หมายถึงการกระทำทางการเมืองและเหตุการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์หลายอย่างมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ ตลาดฟอเร็กซ์ ในข้อมูลพื้นฐานที่กล่าวถึงในบทความก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น เราสามารถดูได้ในปฏิทินเศรษฐกิจว่า ข้อมูลเศรษฐกิจและข่าวใดจะถูกเผยแพร่เมื่อใด และสังเกตสภาพตลาดเพื่อวางแผนการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์มักจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า และมักจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในตลาด

ประเภทของเหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์

เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์รวมถึงสงคราม ความขัดแย้งท้องถิ่น การเลือกตั้ง หรือกิจกรรมของผู้ก่อการร้าย และยังรวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ และพายุทอร์นาโด ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม 2014 ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและตะวันตกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เมื่อไครเมียเข้าร่วมรัสเซีย สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้ดำเนินการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจรัสเซียอ่อนแอลงอย่างมาก นอกจากนี้ ราคาน้ำมันในตลาดก็ลดลงอย่างฉับพลัน ซึ่งทำให้วิกฤตค่าเงินรูเบิลรัสเซียรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินรูเบิลรัสเซียอ่อนค่าลงมากกว่า 20% ภายในวันเดียวในเดือนธันวาคมของปีนั้น

ผลกระทบต่อค่าเงินท้องถิ่น

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเหตการณ์ทางภูมิศาสตร์เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีผลกระทบเชิงลบ ค่าเงินในพื้นที่นั้นจะมีการลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ยังมักจะช่วยส่งเสริมการเพิ่มขึ้นของค่าเงินปลอดภัย (สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเงินปลอดภัย กรุณาอ่านในบทเรียนสำหรับผู้เริ่มต้นเรื่อง "อัตราดอกเบี้ย") ตลาดน้ำมันดิบและโลหะมีค่าก็ล้วนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ได้ง่าย เช่น ในกรณีที่อ่าวเม็กซิโกถูกพายุทอร์นาโด ทำให้แท่นขุดเจาะน้ำมันหลายแห่งได้รับความเสียหาย ลดลงในปริมาณน้ำมันที่เสนอ เมื่อเหตุการณ์นี้ถึงตลาด ราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น

ผลกระทบต่อราคาทองคำ

ในทำนองเดียวกัน ในช่วงก่อนที่สงครามหรือความขัดแย้งในพื้นที่จะเกิดขึ้น ราคาทองมักจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และหลังจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ราคาทองคำก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ราวกับว่ามีระเบิดที่ถูกโยนเข้าสู่ตลาดอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ค้าตกใจ ในฐานะที่มีความไม่แน่นอน จึงแนะนำให้คุณตั้งค่าหยุดการขาดทุนเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณเสียหายอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในขณะทำการซื้อขาย

การแทรกแซงโดยตรงจากธนาคารกลาง

ในบทความ "อัตราดอกเบี้ย" เราได้กล่าวถึงว่า ธนาคารกลางของประเทศสามารถใช้การเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อส่งผลต่อตลาดฟอเร็กซ์ ธนาคารกลางยังสามารถใช้การดำเนินการในตลาดเปิด การปรับอัตราส่วนเงินสำรอง และวิธีการอื่น ๆ เพื่อส่งผลต่อตลาดฟอเร็กซ์ การดำเนินการเหล่านี้มักจะทำให้เกิดผลกระทบต่อ ตลาดฟอเร็กซ์ ได้อย่างยั่งยืน และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มระยะยาวของค่าเงินของประเทศ หากธนาคารกลางเข้าซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์อย่างตรงไปตรงมา จะก่อให้เกิดผลกระทบที่ชัดเจนต่ออัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินในตลาดฟอเร็กซ์

เหตุผลในการแทรกแซงของธนาคารกลาง

แม้ว่าตลาดฟอเร็กซ์ระหว่างประเทศจะมีหลายประเทศที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ลอยตัว แต่หลายประเทศยังคงมีแนวโน้มที่จะเข้ามาแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้นเมื่อจำเป็น ธนาคารกลางแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนจากเหตุผลสามประการหลัก คือ การป้องกันการไหลของเงินทุนออกนอกประเทศ ในกรณีที่ค่าเงินในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องแทรกแซงตลาดฟอเร็กซ์เพื่อทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ หรือนำเสนอนโยบายการค้าระหว่างประเทศให้ถูกต้องในการกระตุ้นการส่งออกสินค้าในประเทศ

การแทรกแซงจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์

ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ในรายงานประจำปี 2015 ที่เผยแพร่ในไตรมาสแรกของปี 2016 ยอมรับว่าพวกเขาได้ซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ 86.1 พันล้านฟรังก์สวิตเซอร์แลนด์ในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เผชิญกับแรงกดดันจากเหตุการณ์ "หงส์ดำ" ในเดือนมกราคม 2015 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศได้รับผลกระทบ

การแทรกแซงที่สำคัญจากธนาคารกลางญี่ปุ่น

ธนาคารกลางญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในการแทรกแซงอย่างตรงไปตรงมาในตลาดฟอเร็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด USDJPY ซึ่งแต่ละครั้งที่มีการดำเนินการแทรกแซงจะมีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 31 ตุลาคม 2014 ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ส่งเงินเยนเข้าสู่ตลาดฟอเร็กซ์และทำให้ USDJPY เพิ่มขึ้นถึง 300 จุดในวันนั้น เหตุผลหลักในการแทรกแซงของธนาคารกลางญี่ปุ่นคือเพื่อกดค่าเงินเยนลงเพื่อกระตุ้นการส่งออกสินค้าในประเทศ

การแทรกแซงด้วยวาจาของธนาคารกลางญี่ปุ่น

น่าสนใจว่า ก่อนที่จะมีการแทรกแซงอย่างมีนัยสำคัญ ธนาคารกลางญี่ปุ่นมักจะทำการแทรกแซงด้วยวาจาก่อน ตัวอย่างเช่น ในเดือนเมษายน 2016 เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USDJPY ลดลง และไปถึงระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือนตั้งแต่ธนาคารกลางขยายมาตรการ QE รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินการถ้าจำเป็น ส่งผลให้ USDJPY เพิ่มขึ้น 0.5% ในทันที เนื่องจากตลาดคาดว่า หากอัตราแลกเปลี่ยนยังคงลดลงต่อไป ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเข้ามาแทรกแซง

การคาดการณ์เกี่ยวกับการแทรกแซงจากธนาคารกลางญี่ปุ่น

นักวิเคราะห์คาดเดาว่า เมื่อ USDJPY ลดลงถึง 100.00 การทำการค้าขายในลักษณะ Short จะต้องติดตามการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกัน เมื่อค่าเยนแข็งค่าขึ้น ความคาดหวังเกี่ยวกับการแทรกแซงของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยน USDJPY มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการลดลงอย่างรุนแรง