การลงทุนในตลาด Forex

นักลงทุนที่เข้าไปในตลาด Forex ต่างก็หวังที่จะรู้ล่วงหน้าถึงแนวโน้มการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การใช้งานการวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายรูปแบบในการคาดการณ์จุดสูงสุดและต่ำสุดของตลาด แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม การพยายามทำนายจุดสูงสุดและต่ำสุดทำให้นักลงทุนประสบกับความสูญเสียมหาศาล ตลาดนั้นมีความเป็นกลาง มีแนวโน้มของมันเอง แต่สิ่งนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้สำหรับนักลงทุนทั่วไป ถามว่ามีกี่คนกันแน่ที่กล้ารับประกันว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดในวันพรุ่งนี้?

กลยุทธ์การติดตามแนวโน้ม

สำหรับนักลงทุนทั่วไป การเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดในปัจจุบันและรู้ว่าควรทำอย่างไรในตลาดตอนนี้ก็คือสิ่งที่สำคัญแล้ว เราไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำคือการติดตามแนวโน้มแทนที่จะคาดการณ์แนวโน้ม เราต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรในการ "ตามแนวโน้ม" ในตลาดปัจจุบัน ที่นี่ ผู้เขียนขอแนะนำเครื่องมือทางเทคนิคในการติดตามแนวโน้มที่เรียกว่า "บีลลิงเกอร์แบนด์" จากประสบการณ์จริงในหลายปี

โครงสร้างของบีลลิงเกอร์แบนด์

บีลลิงเกอร์แบนด์ประกอบด้วยเส้นบน เส้นกลาง และเส้นล่าง ซึ่งจะทำให้เราสามารถแบ่งช่วงการเคลื่อนไหวของราคาเป็นบางพื้นที่ โดยเส้นบนเรียกว่าเส้นแรงกดดัน เส้นกลางเรียกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราคา และเส้นล่างเรียกว่าเส้นสนับสนุน การใช้บีลลิงเกอร์แบนด์เป็นตัวชี้วัดการติดตามแนวโน้มมีความมีประสิทธิภาพและใช้งานได้ง่าย ด้านล่างเป็นการอธิบายสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่องทางนี้รวมถึงกลยุทธ์การเทรดที่ควรใช้ในแต่ละสถานการณ์:

สถานการณ์ต่างๆ ในการเทรด

1. เมื่อราคาเคลื่อนที่อยู่ในพื้นที่ระหว่างเส้นกลางและเส้นบน ตราบใดที่ราคาไม่ต่ำกว่าเส้นกลาง แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในสถานการณ์ขาขึ้น ในกรณีนี้กลยุทธ์การเทรดของเราคือการซื้อเมื่อราคาอยู่ในจุดต่ำ ไม่ควรทำการขายสั้น

2. เมื่อราคาเคลื่อนที่อยู่ในพื้นที่ระหว่างเส้นกลางและเส้นล่าง ตราบใดที่ราคาไม่ทะลุเส้นกลาง แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในสถานการณ์ขาลง ในกรณีนี้กลยุทธ์การเทรดของเราคือการขายเมื่อราคาอยู่ในจุดสูง ไม่ควรทำการซื้อเข้าสำหรับต้นทุนต่ำ

3. เมื่อราคาเคลื่อนที่ตามเส้นบน จะเห็นว่าตลาดอยู่ในสถานการณ์ขาขึ้นอย่างเดียว เมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้โดยทั่วไปจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผู้ถือสัญญาซื้อจำเป็นต้องคงตัว จนกว่าราคาไม่หลุดจากพื้นที่ของเส้นบน

4. เมื่อราคาเคลื่อนที่ตามเส้นล่าง ตลาดกำลังอยู่ในสถานการณ์ขาลงอย่างเดียว ซึ่งอาจเป็นกรณีของการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผู้ถือสัญญาขายจะต้องคงตัวตราบใดที่ราคาไม่หลุดจากเส้นล่าง

5. เมื่อราคาอยู่ในพื้นที่ของเส้นกลาง ตลาดจะแสดงถึงการแกว่งตัว ตลาดจะเคลื่อนไหวขึ้นและลงในพื้นที่นี้ สถานการณ์นี้เป็นอันตรายอย่างมากสำหรับผู้ที่ทำการติดตามแนวโน้ม และมักจะเกิดการขาดทุนอย่างรุนแรง เราจะใช้กลยุทธ์การเทรดในการรอดูโดยไม่เข้าไปชี้นำตลาดในช่วงการแกว่งนี้

6. สถานะการหดตัวของ BOLL ช่อง เมื่อราคาผ่านการเคลื่อนไหวขึ้นและลงเป็นเวลาสักพักแล้ว จะเข้าสู่การแกว่งภายในช่วงที่จำกัด เขตที่แกว่งตัวนี้จะเล็กลงเรื่อย ๆ และช่องจะมีการหดตัวในเส้นสามเส้นนี้ สถานะนี้เป็นสัญญาณเบื้องต้นสำหรับตลาดใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ในกรณีนี้จะใช้กลยุทธ์การรอดู

7. สถานะการขยายตัวอย่างกะทันหันของ BOLL ช่อง เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานะการหดตัวของช่องหลังจากการแกว่งตัวเป็นเวลานาน ช่องจะมีการขยายตัวอย่างกะทันหัน ซึ่งหมายความว่าเหตุการณ์ที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้น และตลาดจะเข้าสู่สถานการณ์ขาขึ้น ในกรณีนี้เราสามารถปรับตำแหน่งของเราได้โดยตรงและสร้างสถานะตามเหตุการณ์

8. สถานการณ์การเบี่ยงเบนระยะสั้นใน BOLL ช่อง เมื่อช่องมีการหดตัวก่อนที่เหตุการณ์ใหญ่ๆ จะเกิดขึ้น มักจะมีการเบี่ยงเบนระยะสั้นซึ่งเป็นจุดที่นักลงทุนจะได้รับการสร้างดักจับเพื่อสะท้อนทิศทางของตลาด เราควรตระหนักถึงการปรากฏตัวของสถานการณ์นี้ และวิธีที่ดีที่สุดคือการควบคุมตำแหน่งของเราเพื่อลดความเสี่ยง เมื่อเราพบว่ามันเป็นดักจับเรายังมีเงินทุนและเวลาเพียงพอในการปรับตำแหน่งของเรา!

สรุป

นี่คือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของช่อง ในฐานะที่เป็นตัวชี้วัดการติดตามแนวโน้ม เราควรเลือกวัฏจักรของช่องเป็นรายสัปดาห์ เมื่อราคาทำการเคลื่อนไหวแบบขาขึ้น เราจึงต้องระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการคืนทุนที่ไม่จำเป็น เพื่อให้เราสามารถทำกำไรได้ในขณะที่ยังสามารถปิดการซื้อขายได้อย่างทันท่วงที!