การเทรดในตลาดการเงินมักมีรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้ทฤษฎี Harmonic Trading หรือทฤษฎีคลื่น Elliot Wave นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมตลาดถึงไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะพฤติกรรมมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง การเทรดมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามกฎของสามอย่างบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแนวโน้มตลาดหรือการตัดสินใจเทรด

3 รูปแบบแนวโน้มของตลาดการเงิน

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดตามแนวโน้ม (Trend Follower) หรือนักลงทุนเชิงสวนทาง ตลาดก็ยังคงเคลื่อนที่ไปได้เพียง 3 ทิศทางหลัก ๆ ได้แก่:

• 1. ขาขึ้น (Uptrend)
• 2. ขาลง (Downtrend)
• 3. แกว่งตัวไม่เป็นทิศทาง (Sideway)

การเข้าใจแนวโน้มของตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จ คุณควรพิจารณาให้ดีว่าแนวโน้มตลาดในช่วงเวลานั้นๆ เป็นอย่างไร หากพบว่าตลาดไม่ค่อยมีแนวโน้มชัดเจน คุณควรหยุดการเทรด เพราะหลายคนมักรู้สึกกระวนกระวายและทำการเทรดโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนได้

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณพบว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น คุณควรรอดูจนกว่าจะเห็นสัญญาณยืนยันก่อนที่จะทำการเข้าซื้อ การฝืนเข้าสู่ตลาดโดยไม่มีการวิเคราะห์แนวโน้มอย่างละเอียดอาจนำไปสู่การขาดทุน

3 ตัวเลือกในการเทรด

เมื่อคุณเข้าใจแนวโน้มของตลาดแล้ว ขั้นต่อไปคือการหาจังหวะในการเข้าตลาด การเทรดมีเพียง 3 ตัวเลือกเท่านั้น:

• 1. ซื้อ (Buy)
• 2. ขาย (Sell)
• 3. รอดู (Wait)

การรอดูสถานการณ์เป็นทางเลือกที่เหมาะสมเสมอ ไม่จำเป็นต้องคิดว่าคุณมีแค่ตัวเลือกในการซื้อหรือขายเท่านั้น บางครั้งการรอคอยและหลีกเลี่ยงการเข้าตลาดในช่วงที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้

ตัวอย่าง: หากคุณพบว่าตลาดไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน การตัดสินใจที่จะรอดูและไม่ทำอะไรเลยในช่วงเวลานั้นอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

3 สิ่งที่ต้องทำก่อนการเทรด

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะทำการเทรดและหาจุดเข้าที่ดีได้แล้ว การเตรียมการล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การเทรดของคุณประสบความสำเร็จ:

• 1. กำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss)
• 2. กำหนดจุดเข้าตลาด (Entry Point)
• 3. กำหนดเป้าหมายกำไร (Target)

เป้าหมายแรกที่คุณตั้งควรจะเป็นอัตราส่วน 1:1 เช่น หากคุณมีความเสี่ยงที่ 1% ของบัญชี คุณก็ควรมุ่งหวังที่จะได้กำไรที่ 1% เช่นกัน การมีการกำหนดจุดหยุดขาดทุนและเป้าหมายกำไรที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีวินัยในการเทรดและลดความเสี่ยงในการสูญเสีย

ตัวอย่าง: หากคุณตั้งจุดหยุดขาดทุนที่ 50 จุด คุณก็ควรกำหนดเป้าหมายทำกำไรที่ 50 จุดเช่นกัน เพื่อรักษาความสมดุลของความเสี่ยงและผลตอบแทน

3 ปัจจัยที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จระยะยาว

การที่จะประสบความสำเร็จในการเทรดระยะยาวนั้น คุณต้องมีปัจจัยสำคัญ 3 อย่าง:

• 1. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
• 2. กลยุทธ์การเทรด (Trading Strategy)
• 3. จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology)

หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากทั้งสามนี้ การเทรดของคุณจะขาดความสมดุลและทำให้ยากที่จะประสบความสำเร็จ นักเทรดส่วนใหญ่มักมองข้ามปัจจัยด้านจิตวิทยาการเทรด ซึ่งผลสุดท้ายพวกเขาต้องเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการลดความเสี่ยงในการขาดทุน ส่วนกลยุทธ์ที่ดีจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจิตวิทยาการเทรดจะช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล

ตัวอย่าง: นักเทรดที่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดี มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่านักเทรดที่ไม่มีการวางแผน

ตัวอย่างประกอบ

ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าแนวโน้มของตลาดเป็นขาขึ้น คุณอาจตัดสินใจเข้าสู่การเทรดโดยตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้ที่ 100 จุดและตั้งเป้าหมายทำกำไรไว้ที่ 100 จุด ซึ่งจะให้ความเสี่ยงที่เท่ากับผลตอบแทน (1:1) การมีแผนที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณรักษาความสมดุลและประสบความสำเร็จในการเทรด